Cool...,
#ecommerce #dntmb
ในฤดูร้อนปี 1999 ณ กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ เพื่อนสามคนที่เรียนจบมาด้วยกันเริ่มเบื่องานประจำที่ทำอยู่และอยากลองหาอะไรมันส์ๆทำบ้าง แต่พวกเขายังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะทำอะไรดี
จนกระทั่งหนึ่งในสามบอกว่า อากาศร้อนแบบนี้เรามาลองขายน้ำผลไม้ปั่น (smoothies) กันเหอะ เพื่อนอีกสองคนก็เห็นดีเห็นงามด้วย
แต่ว่าเราจะไปขายที่ไหนกันดีละ
และก็นึกขึ้นมาได้ว่าสุดสัปดาห์ที่จะถึงจะมีงาน Jazz on the Green แถวๆ Parsons Green ในกรุงลอนดอนน่าจะเป็นที่ที่เหมาะแก่การขายน้ำผลไม้ปั่นเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งสามใช้เงินลงทุน 500 ปอนด์ในการซื้อผลไม้และอุปกรณ์ที่จำเป็น และเริ่มเปิดบูทขายเลย
สิ่งที่พวกเขาต้องการนอกจากจะขายน้ำผลไม้ได้แล้ว พวกเขาอยากรู้ว่าสูตรน้ำผลไม้ของพวกเขานี่มันดีพอที่จะให้ทั้งสามลาออกจากงานประจำแล้วมาขายน้ำผลไม้ปั่นได้ไหม
วิธีการหาคำตอบของสามคนนี้น่าทึ่งมาก
เขาวางป้ายไว้หน้าบูทซึ่งมีข้อความประมาณว่า “คุณคิดว่าพวกเราควรจะลาออกจากงานเพื่อมาขายน้ำปั่นพวกนี้ไหม” ข้างหน้าป้ายมีถังขยะสองอัน อันหนึ่งเขียน “Yes” อีกอันเขียน “No”
เมื่อหมดสุดสัปดาห์นั้น ถังขยะที่เขียนว่า “Yes” มีขวดเปล่าเต็มถึงในขณะที่ถังที่เขียนว่า “No” มีขวดเปล่าเพียงสามขวด
ทั้งสามยื่นใบลาออกจากงานประจำในวันรุ่งขึ้น
แต่แน่นอนหนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งสามมีแต่ไอเดียแต่ไม่มีเงินทุน หลังจากขอกู้เงินไปกับธนาคารกว่า 20 ธนาคาร ทุกธนาคารปฏิเสธหมด พวกเขาไม่ย่อท้อไปพยายามนำเสนอโครงการต่อนักลงทุนหลายสิบคนแต่ทั้งหมดเหนื่อยหน่ายที่จะฟังเขาแล้วแล้วบอกกับพวกเขาว่า business plan ของพวกเขานี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก
เด็กหนุ่มสามคนที่ไม่มีประสบการณ์จะมาทำธุรกิจขายเครื่องดื่มในตลาดสุดหินแบบนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊งลูกเดียว
ทั้งหมดยังไม่ลดละความพยายาม และยังคงโทรศัพท์และอีเมลล์ไปหาทุกคนไม่ว่าจะรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม ถ้าคนๆนั้นมีโอกาสที่จะมาลุงทุนกับเขาได้เขาจะติดต่อไป แน่นอนพวกเขาติดต่อหาคนเป็นร้อยๆคน
จนที่ที่สุดมีชายชื่อ Maurice Pinto ติดต่อกลับมา ซึ่งแม้ว่าเขาจะมองว่าไอเดียธุรกิจของสามคนนี้เป็นเรื่องที่ดู “โง่เง่า” แต่เห็นถึงความพยายามจึงจะยอมลงทุนให้ 50,000 ปอนด์
หลังจากนั้นสามคนนี้ก็หาคนผลิตเครื่องดื่มของพวกเขา ซึ่งก็ได้เจอกับคนผลิตน้ำส้มชื่อ Mike Lord ซึ่งก็คิดคล้ายๆคนอื่นว่าไอเดียของสามคนนี้ไม่น่าจะสำเร็จ แต่เขาก็จะผลิตให้เพราะเขาเห็นความมุ่งมุ่นในแววตาของสามคนนี้ คำพูดของ Mike Lord น่าสนใจมากครับผมขอยกมาเป็นภาษาอังกฤษเลยนะครับ
“I don’t think this idea is going to work, but there’s something in your eyes that reminds me of myself when I was your age, so I’ll do it”
ความมุ่งมั่นนี่มันแผ่รังสีออกมาที่คนอื่นสัมผัสได้จริงๆ
พวกเขาไม่มีเงินที่จะเอามาทำโฆษณาวิธีการของพวกเขาคือเดินแจกตั้งแต่ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เกต ไปจนถึงตึกที่ทำงานของหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่างๆ เขาเขียนข้อความถึงความตั้งใจในการทำของที่ดีที่สุดกับตัวอย่างที่เขาแจกไปด้วย ข้อความมีดังนี้ครับ
“the idea is to make it easy for people to do themselves some good. And to make it taste nice too. We wanted people to think of innocent drinks as their one healthy habit; like going to the gym”
เรียบง่ายและจริงใจ
หลังจากนั้นพวกเขาก็รับโทรศัพท์อย่างถล่มทลาย ทั้งร้านค้าและนักข่าวชอบสินค้าและแนวคิดในการทำแบรนด์ของสามคนนี้มาก
นี่คือจุดเริ่มต้นของยักษ์ใหญ่ในวงการเครื่องดื่มของอังกฤษ
นี่คือเรื่องเล่าของแบรนด์ Innocent ที่ปัจจุบันมียอดขายปีละกว่า 12,000 ล้านบาท
นี่คือเรื่องของคนที่มีฝันและกล้าที่จะทำมัน
ผมเขียนเรื่องนี้จบผมนึกถึงคำพูดของ Chris Gardner ในหนังเรื่อง The pursuit of happyness ที่ว่า
“Don’t ever let someone tell you that you can’t do something. Not even me. You got a dream, you gotta protect it. When people can’t do something themselves, they’re gonna tell you that you can’t do it. You want something, go get it. Period.”
อย่าให้ใครมาดับความฝันของคุณได้นะครับ
____